เส้นทางชีวิตของพระเยซูบนโลก
หากคุณมาที่นี่เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซู ดังนั้นเราจะเริ่มกันเลย พระเยซูทรงเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์มาจนถึงยุคปัจจุบัน คุณอาจทราบแล้วว่าเราเฉลิมฉลองการประสูติของพระองค์ในเทศกาลคริสต์มาส และระลึกถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ในวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์แต่พระเยซูทรงเป็นใครกันแน่? และอะไรเกิดขึ้นจริงในชีวิตของพระองค์ ประวัติของพระองค์เป็นอย่างไร?
ในเส้นเวลาชีวิตของพระเยซูนี้ เราจะพาคุณเดินทางทีละขั้นตอน ตั้งแต่การประสูติอันอัศจรรย์จนถึงลมหายใจสุดท้ายของพระองค์และหลังจากนั้น

การประสูติและวัยเด็กของพระเยซู 4 ปี ก่อนคริสตศักราช ถึง ค.ศ. 30
ในสมัยของพระเยซู การประกาศการประสูติไม่ได้เฉลิมฉลองด้วยการบันทึกน้ำหนัก ความยาว และวันเวลาที่แน่ชัดของการประสูติของทารกเหมือนที่เราทำกันในปัจจุบัน ไม่มีการโพสต์ในอินสตาแกรมที่แสดงภาพพระกุมารเยซูห่อหุ้มด้วยผ้าลินินฝ้ายกำลังกอดตุ๊กตากระต่าย แต่ลูกาและมัทธิว ผู้เขียนพระกิตติคุณสองคุณในพระคัมภีร์ได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการประสูติของพระองค์ไว้ ด้วยบันทึกเหล่านี้ เราจึงสามารถสร้างเส้นเวลาการเสด็จมาของพระองค์บนโลกนี้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องราวการประสูติธรรมดาทั่วไป
4 ปีก่อนคริสตศักราช
4 ปีก่อนคริสตศักราช
ทูตสวรรค์เข้าเฝ้านางมารีย์
คู่หมั้นหนุ่มสาวนางมารีย์และโยเซฟ กำลังหมั้นหมายจะแต่งงานกัน เมื่อทูตสวรรค์ได้เข้าเฝ้านางมารีย์ ทูตสวรรค์ได้แจ้งแก่นางว่า นางจะทรงตั้งครรภ์และมีบุตร ซึ่งจะเป็นบุตรของพระเจ้า นางมารีย์ทรงประหลายใจ เนื่องจากนางมารรย์เองยังเป็นหญิงพรหมจารีย์นางจึงทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร” ทูตสวรรค์ทูลตอบว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงกระทำการนี้ให้สำเร็จ
การสำรวจสำมะโนประชากร
ตามพระบัญชาของจักรพรรดิ ประชาชนทุกคนต้องไปลงทะเบียนในถิ่นกำเนิดของตน ดังนั้น แม้ว่านางมารีย์ตั้งครรภ์แก่ในขณะนั้น นางมารีย์และโยเซฟก็จำเป็นต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม
การประสูติของพระเยซู
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองเบธเลเฮม นางมารีย์เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร แต่เนื่องด้วยในเมืองมีผู้คนเป็นอันมากจึงไม่มีห้องว่างในโรงแรมที่พักใดๆ เลย ด้วยเหตุนี้นางมารีย์จึงประสูติบุตรน้อยในคอกสัตว์ เพราะไม่มีที่อื่นให้อยู่อาศัย
การเข้าเฝ้าพระกุมารกษัตริย์
แม้ว่าสถานที่ประสูติจะเป็นที่ต่ำต้อย แต่การประกาศการประสูติของพระเยซูกลับเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ มีดาวดวงใหม่บนท้องฟ้าและเหล่าทูตสวรรค์ประกาศการประสูติแก่ผู้คนแปลกหน้า โยเซฟและนางมารีย์ได้ต้อนรับผู้มาเข้าเฝ้า โดยกลุ่มแรกคือเหล่าคนเลี้ยงแกะจากนอกเมือง ผู้ได้รับข่าวจากทูตสวรรค์ ต่อมาภายหลัง มีโหราจารย์จากทิศตะวันออก เดินทางตามดวงดาวมาเพื่อเข้าเฝ้า พระมหากษัตริย์แห่งชาวยิวที่เพิ่งประสูติ
การหลบหนีไปประเทศอียิปต์
ขณะที่พระเยซูแทบจะยังไม่อายุถึงวัยเตาะแตะ เหล่าโหราจารย์ได้เดินทางมาถวายบังคมพระองค์ หลังจากการเข้าเฝ้านั้น กษัตริย์เฮโรดผู้ได้ยินเรื่องราวการประสูติของ “กษัตริย์” พระองค์นี้ ทรงหวาดกลัวว่าจะมีผู้แข่งชิงอำนาจ พระองค์จึงรับสั่งให้ประหารเด็กชายทุกคนในเมืองเบธเลเฮมที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ โยเซฟได้รับการเตือนผ่านความฝัน จึงพานางมารีย์และพระกุมารเยซูหลบหนีไปยังประเทศอียิปต์ทันเวลาพอดี
ช่วงเวลาแห่งความสงบ
หลังจากเฮโรดสิ้นพระชนม์ ครอบครัวได้เดินทางกลับไปยังอิสราเอลเพื่อไปอาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเร็ธ เราไม่ได้เรียนรู้มากนักเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูในช่วงเวลานี้ สิ่งเดียวที่กล่าวถึงวัยเด็กของพระเยซูคือพระองค์ทรงเจริญเติบโตทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา และทรงเป็นที่โปรดปรานต่อพระเจ้าและผู้คนรอบข้าง อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์พิเศษหนึ่งเหตุการณ์ที่เราได้รับการบอกเล่า เป็นเพียงภาพเล็กๆ ที่เราได้เห็นในวัยเด็กของพระเยซู
ค.ศ. 8
ค.ศ. 8-25
ค.ศ. 8
พระเยซูในพระวิหารเมื่ออายุ 12 ปี
เมื่อพระเยซูมีอายุ 12 ปีพระองค์เสด็จพร้อมกับบิดามารดาไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมเทศกาลปัสกาประจำปี ระหว่างการเดินทางกลับบิดามารดาของพระองค์พบว่าพระเยซูหายไป หลังจากค้นหาเป็นเวลาสามวัน พวกท่านพบพระองค์ในพระวิหาร กำลังสนทนาอย่างลึกซึ้งกับนักปราชญ์ เมื่อบิดามารดาต่อว่าพระองค์ที่ทำให้พวกท่านตกใจกลัว พระองค์ตรัสตอบอย่างสงบว่า “ท่านเที่ยวหาเราทำไม? ท่านไม่ทราบหรือว่าเราต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของเรา?”
ค.ศ. 8-25
พระเยซูจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่
ในสมัยนั้น เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่บุตรชายจะได้รับการฝึกฝนในวิชาชีพของบิดา โยเซฟในฐานะบิดาบุญธรรมทางโลกของพระเยซู คงได้ถ่ายทอดวิชาช่างไม้ให้แก่พระองค์ เราไม่มีบันทึกในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเยซูในช่วงอายุ 12 ถึง 30 ปี อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะจินตนาการว่าการเติบโตของพระองค์เป็นอย่างไร พระองค์คงทรงตระหนักว่าพระองค์ทรงแตกต่างจากผู้คนรอบข้างอย่างมาก
การปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนของพระเยซู ค.ศ. 26 ถึง 29
เมื่อพระเยซูทรงมีอายุราว 30 ปี ประวัติของพระองค์เริ่มปรากฏอีกครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากชีวประวัติของพระเยซูไม่ได้รับการบันทึกจนกระทั่งหลายทศวรรษต่อมา มีความเป็นไปได้มากที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 26 ถึง 29 แม้เราจะไม่ทราบวันที่แน่ชัด แต่เราทราบว่าพระเยซูทรงเริ่มเดินทางไปทั่วชนบท เมือง และนครต่างๆ
พระเยซูทรงพบปะผู้คนมากมาย ทรงเล่าอุปมา และทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการ ในเส้นเวลาของพระเยซูนี้ เราจะนำคุณผ่านจุดสำคัญต่างๆ ในการเดินทางของพระองค์
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้เป็นที่รอคอยมานาน ท่านเรียกร้องให้ชนชาติอิสราเอลกลับใจและรับบัพติศมา จากนั้นพระเยซูเองก็เสด็จมาที่ริมแม่น้ำที่ยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่
ค.ศ. 26
ค.ศ. 26
การรับบัพติศมาของพระเยซู
ก่อนที่พระเยซูจะทรงกระทำพระราชกิจต่อสาธารณชน พระองค์แสวงหายอห์นผู้เป็นญาติของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่ผู้คนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ พระเยซูทรงขอให้ยอห์นให้บัพติศมาแก่พระองค์ด้วย เมื่อพระเยซูทรงผุดขึ้นจากน้ำ ท้องฟ้าก็เปิดออก มีพระสุรเสียงดังมาว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” พระเจ้าทรงประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระองค์และพระองค์ทรงพอพระทัยในพระเยซู
พระเยซูในถิ่นทุรกันดาร
หลังจากนั้นทันที พระเจ้าทรงนำพระเยซูเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 วัน ตลอดระยะเวลานั้น พระเยซูมิได้กินหรือดื่มสิ่งใดเลย หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง มารได้เข้ามาหาพระองค์ มันได้ทดลองพระเยซู 3 ครั้ง: มันล่อลวงพระองค์ในลักษณะที่มนุษย์เราก็ถูกล่อลวงเช่นกัน พระเยซูทรงต่อต้านการทดลองเหล่านั้นด้วยการอ้างถึงพระวจนะที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ หลังจากนั้นมารก็ละจากพระองค์ไป
พระเยซูในพระวิหาร
หลังจากช่วงเวลาในถิ่นทุรกันดาร พระเยซูเสด็จกลับสู่แคว้นกาลิลีด้วยพระกำลังที่เพิ่มพูน พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาและเป็นที่สรรเสริญของประชาชน พระองค์ทรงได้รับม้วนหนังสือจากคำพยากรณ์ของอิสยาห์เพื่อทรงอ่านในวันนั้น พระเยซูทรงอ่านตอนที่ประกาศถึงพระเมสสิยาห์และตรัสว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้นได้สำเร็จเป็นจริงแล้ว
พระเยซูทรงเลือกสาวก
พระเยซูทรงคัดเลือกผู้ติดตามเพื่อร่วมพันธกิจของพระองค์อย่างรอบคอบ พระองค์ตรัสให้พวกเขาละทิ้งชีวิตเดิมไว้เบื้องหลัง พระเยซูเสด็จไปทั่วอิสราเอล ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา บนเนินเขา และทุกแห่งที่ผู้คนจะรับฟัง ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรของพระเจ้า ชายทั้งสิบสองคนได้กลายเป็นมิตรสหายที่ใกล้ชิดที่สุดของพระองค์ และได้รับการเรียกว่าสาวกของพระองค์
การอัศจรรย์ครั้งแรก
พระเยซูและเหล่าสาวกได้รับเชิญไปงานสมรสที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี ระหว่างงานเลี้ยงฉลอง เหล้าองุ่นได้หมดลง ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าอับอายในวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขก จากนั้นพระเยซูทรงสั่งให้บรรดาคนรับใช้เติมน้ำในโอ่งหินจนเต็ม แล้วพระองค์ทรงสั่งให้พวกเขาตักไปให้เจ้าภาพชิม ขณะที่พวกเขาทำตาม น้ำก็กลายเป็นเหล้าองุ่น นี่คือการอัศจรรย์ครั้งแรกของพระเยซู
พระเยซูทรงร่วมเทศกาลฉลอง
ในระหว่างเทศกาลอยู่เพิง ชนชาติอิสราเอลระลึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่ในกระท่อมและเต็นท์หลังจากหนีออกจากอียิปต์ พวกเขาระลึกถึงความซื่อสัตย์ของพระเจ้าด้วยการจัดเตรียมอาหารอย่างมากมาย การเต้นรำ และดนตรี พระเยซูทรงเทศนาสั่งสอนในกรุงเยรูซาเล็มระหว่างเทศกาลนี้ และผู้คนทั้งปวงต่างประหลาดใจในสติปัญญาของพระองค์ แม้ว่าพระองค์มิได้ทรงผ่านการอบรมในฐานะผู้นำทางศาสนาก็ตาม
คำอธิษฐานที่มีชื่อเสียงที่สุด
มีเพียงครั้งเดียวที่เราได้อ่านเกี่ยวกับการที่ผู้ติดตามของพระเยซูทูลขอให้พระองค์ทรงสอนสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ นั่นคือเมื่อพระเยซูทรงสอนคำอธิษฐานที่มีชื่อเสียงที่สุดในคริสต์ศาสนาแก่พวกเขา
พระเยซูทรงเป็นที่รู้จักมากขึ้น
พระเยซูเสด็จไปทั่วนคร เมือง และชนบทในอิสราเอล ทุกที่ที่พระองค์เสด็จไป พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ทรงรักษาผู้คนและขับไล่ปีศาจ นอกเหนือจากคำสอนที่ปฏิวัติความคิด ชีวิตของผู้คนกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
สัปดาห์สุดท้าย ค.ศ. 29
พระคัมภีร์ให้ความสำคัญกับสัปดาห์สุดท้ายของพระเยซูในกรุงเยรูซาเล็มเป็นอย่างมาก ช่วงเวลานี้ตรงกับสัปดาห์ที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดของปีสำหรับชาวยิวพอดี
ดูเหมือนว่าชีวิตทั้งหมดของพระองค์นำมาสู่จุดนี้ ผู้เขียนพระประวัติจึงชะลอการบรรยายลง และให้รายละเอียดของช่วงเวลานี้อย่างละเอียด เพื่อแสดงให้เราทราบว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง
วันอาทิตย์
วันจันทร์
วันอังคารและวันพุธ
วันพฤหัสบดี
วันศุกร์
วันเสาร์
วันอาทิตย์
วันอาทิตย์
การต้อนรับพระเยซูอย่างยิ่งใหญ่
พระเยซูได้รับการต้อนรับในฐานะกษัตริย์ที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงลาเข้าเมือง และประชาชนทั้งปวงต่างโบกกิ่งปาล์มด้วยความเคารพสักการะและร้องเพลงโฮซันนา (แปลว่า “โปรดช่วยเราเถิด” หรือ “โปรดช่วยด้วย”) ชาวยิวหวังว่าพระเยซูจะทรงปลดปล่อยพวกเขาจากการกดขี่ของชาวโรมัน และพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ที่ทรงสัญญาไว้ การเสด็จเข้าเมืองของพระเยซูได้รับการระลึกถึงในวันอาทิตย์ทางตาล
วันจันทร์
พระเยซูในพระวิหาร
ตามที่พระองค์เคยปฏิบัติพระเยซูเสด็จเยือนพระวิหาร เนื่องจากใกล้ถึงเทศกาลปัสกา พระวิหารกลับถูกใช้เป็นตลาด พระเยซูโกรธและคว่ำโต๊ะ และขับไล่พวกพ่อค้าออกไปด้วยความโกรธอันชอบธรรม พระองค์ทรงตวาดพวกเขาว่า “พระนิเวศของเราจะเป็นนิเวศแห่งการอธิษฐาน แต่เจ้าทั้งหลายกลับทำให้เป็นถ้ำของโจร”
วันอังคารและวันพุธ
การสั่งสอนในพระวิหาร
พระเยซูเสด็จมายังพระวิหารเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เพื่อการสั่งสอน โดยส่วนใหญ่พระเยซูทรงสอนด้วยอุปมา ซึ่งเป็นเรื่องราวสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และการเปรียบเทียบ อุปมาที่เป็นที่รู้จักกันดีสองเรื่องคือ เรื่องบุตรน้อยหลงหาย และเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี
การวางแผนลอบฆ่า
ผู้นำชาวยิวเกลียดชังพระเยซู พวกเขาพยายามยั่วยุพระองค์ด้วยคำถามยากๆ แต่พระเยซูทรงสะท้อนกลับไปที่พวกเขาด้วยคำตอบทุกข้อ ผู้นำเหล่านั้นโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ และเห็นว่าพวกเขากำลังสูญเสียอำนาจเหนือประชาชนของตน พวกเขาจึงตัดสินใจว่าต้องกำจัดพระเยซู
การทรยศที่คาดไม่ถึง
ยูดาส หนึ่งในสหายสนิทของพระเยซู ถูกชักจูงให้ทรยศต่อพระองค์ เขาได้รับเงินสามสิบเหรียญเป็นค่าตอบแทนในการทรยศพระองค์ให้แก่เหล่าทหาร
วันพฤหัสบดี
การฉลองเทศกาลปัสกา
ทุกฤดูใบไม้ผลิชาวยิวจะฉลองเทศกาลปัสกา เทศกาลนี้เพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมานภายใต้การเป็นทาสอันโหดร้ายในอียิปต์อย่างอัศจรรย์ หลังจากที่ประชากรของพระองค์ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลา 400 ปี! พระเยซูทรงร่วมฉลองเทศกาลนี้กับสหายของพระองค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างมีชื่อเสียงในชื่อ “อาหารมื้อสุดท้าย”
การทรยศ
ระหว่างมื้ออาหาร พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า คนหนึ่งในพวกเขาที่ร่วมโต๊ะอยู่ ณ เวลานั้นจะทรยศพระองค์ บรรดาสหายต่างตกตะลึงใครกันที่จะทำเช่นนั้นได้?
การอำลา
มิใช่ครั้งแรกที่พระเยซูตรัสบอกผู้ติดตามของพระองค์ว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์แต่จะทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงพยายามอธิบายให้สาวกของพระองค์เข้าใจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในการอำลาของพระองค์ พระองค์ทรงเผยให้เห็นภาพของอนาคตและตรัสถ้อยคำหนุนใจแก่สาวกของพระองค์ อย่างไรก็ตาม สาวกของพระองค์ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง
จุมพิตแห่งการทรยศ
หลังจากมื้ออาหาร พระเยซูและสาวกของพระองค์เสด็จดำเนินไปในสวนแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งพระองค์ทรงอธิษฐานและร้องไห้อย่างขมขื่น จากนั้นเหล่าทหารก็มาถึงยูดาสจุบที่หน้าพระเยซู ซึ่งเป็นสัญญาณบอกทหารว่าควรจับกุมผู้ใด ในความพยายามที่จะช่วยพระเยซู เปโตรได้ฟันหูของคนรับใช้คนหนึ่งขาด แต่พระเยซูทรงรักษาชายผู้นั้น และตรัสว่า “จำเป็นที่สิ่งทั้งปวงนี้ต้องเกิดขึ้น” พระเยซูถูกจับกุมโดยผู้นำทางศาสนา
วันศุกร์
การพิจารณาคดีอันเท็จ
พระเยซูถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิตและผู้นำทางศาสนาที่เกลียดชังพระองค์เป็นลำดับแรก พวกเขาได้จ่ายเงินให้ผู้คนเพื่อให้ให้การเท็จปรักปรำพระเยซูต่อหน้าสาธารณชน ประชาชนทั้งปวงถูกปลุกปั่นและต้องการให้ประหารพระเยซู อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถกระทำการนี้ได้หากปราศจากการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่โรมัน
คำพิพากษา
เมื่อพระเยซูถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาโรมันประจำท้องถิ่น ผู้พิพากษาผู้นั้นกลับไม่พบความผิดใดในพระองค์ แม้แต่ภรรยาของเขายังวิงวอนไม่ให้เขาสั่งประหารพระเยซู เขาพยายามปล่อยตัวพระเยซูและถึงกับสั่งโบยตีพระองค์อย่างทารุณ โดยหวังว่าจะทำให้ฝูงชนที่กำลังโกรธแค้นพอใจ แต่พวกเขากลับตะโกนดังยิ่งขึ้นว่า “ตรึงเขาที่กางเขน!” ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการจลาจล เขาจึงยอมจำนนและตัดสินประหารชีวิตพระเยซู
การตรึงกางเขน
การประหารชีวิตนักโทษที่พบได้ทั่วไปในสมัยนั้นคือการถูกตรึงบนไม้กางเขน เป็นการประหารชีวิตที่โหดร้ายทารุณ บางครั้งต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะสิ้นชีวิต เป็นความเจ็บปวดที่ทรมานจนถึงขนาดที่มีการบัญญัติคำว่า “excruciating” (ความเจ็บปวดแสนสาหัส) ขึ้นมาเพื่ออธิบายความเจ็บปวดนี้โดยเฉพาะ ตะปูถูกตอกทะลุมือและเท้าของพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงถูกตรึงบนกางเขน ในขณะที่ผู้คนมองดูและเยาะเย้ยพระองค์อย่างไร้ความปรานี
พระราชกิจสำเร็จแล้ว
ขณะที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนกางเขนและดิ้นรนที่จะหายใจ เกิดแผ่นดินไหวและท้องฟ้ามืดมิด แม้จะเป็นเวลาเที่ยงวัน ท่ามกลางความเจ็บปวดอันแสนสาหัส พระเยซูทรงทูลขอพระเจ้า พระบิดาของพระองค์ให้ทรงอภัยผู้คนเหล่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังทำ จากนั้นพระองค์ทรงร้องด้วยเสียงดังว่า “สำเร็จแล้ว” และสิ้นพระชนม์
การบรรจุพระศพ
สหายของพระองค์อัญเชิญพระศพของพระเยซูลงจากกางเขน พระศพถูกบรรจุในอุโมงค์ฝังศพที่สกัดไว้ในหิน ภายในสวนของโยเซฟผู้มั่งคั่ง เจ้าหน้าที่โรมันกลิ้งหินก้อนใหญ่ปิดทางเข้าอุโมงค์และจัดให้มีทหารยามเฝ้าอย่างเข้มงวดตลอดเวลา
วันเสาร์
ความเงียบและความโศกเศร้า
ในวันเสาร์ทุกสิ่งเงียบสงัด เป็นวันสะบาโตหรือวันพักผ่อนของชาวยิว บรรดาสาวกของพระเยซูโศกเศร้าต่อการสูญเสีย ยูดาสรู้สึกสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งต่อการทรยศของตน จนต้องการคืนเงินให้แก่ผู้นำชาวยิวแต่พวกเขาไม่ยอมรับเงินคืน ด้วยความระทมทุกข์เขาใช้เงินนั้นซื้อทุ่งนาแห่งหนึ่งและฆ่าตัวตายในทุ่งนานั้น
วันอาทิตย์
อุโมงค์ฝังศพที่ว่างเปล่า
พระศพของพระเยซูยังต้องการการดูแลเพิ่มเติม สตรีสองคนจึงไปยังอุโมงค์แต่พบว่าอุโมงค์เปิดอยู่ และว่างเปล่า นางมารีย์ได้พบพระเยซูในพระวรกาย นางรีบวิ่งกลับไปบอกคนอื่นๆ แต่พวกเขากลับเห็นว่าเรื่องที่นางมารีย์เล่านั้นยากที่จะเชื่อ
พระเยซูทรงพระชนม์!
เหล่าสาวกของพระเยซูต่างวิตกกังวลและสับสน พวกเขาพบกันอย่างหวาดกลัวในห้องที่ปิดล็อกไว้เพื่อปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ทันใดนั้นพระเยซูทรงปรากฏท่ามกลางพวกเขา เป็นเวลา 40 วัน ที่พระเยซูทรงพบปะผู้คนและตรัสกับพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น มีรายงานว่ามีผู้คนถึง 500 คนได้เห็นพระองค์ทรงพระชนม์อยู่
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?
เรื่องราวนี้มิได้จบลงที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน แม้แต่การฟื้นคืนพระชนม์อันอัศจรรย์ก็มิใช่บทสุดท้าย เรื่องราวอันน่าทึ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป แม้กระทั่งถึงทุกวันนี้ เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวนี้ เราจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
40 วันต่อมา
40 วันต่อมา
การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
ณ ยอดภูเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงแบ่งปันพระดำรัสอำลาแก่เหล่าสาวกผู้เป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ทรงให้กำลังใจพวกเขา โดยตรัสให้รอคอยการเสด็จมาของพระวิญญาณของพระองค์ ขณะที่พวกเขามองดู พระเยซูทรงลอยขึ้นและหายไปในหมู่เมฆ เสด็จกลับไปหาพระบิดา พวกเขายังคงยืนรออยู่ที่นั่น แต่ทูตสวรรค์สององค์ปรากฏและกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายยืนมองท้องฟ้าอยู่ทำไม? พระเยซูองค์นี้ ผู้ทรงถูกรับขึ้นไปจากท่านสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาอีกครั้งในลักษณะเดียวกับที่ท่านได้เห็นพระองค์เสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์”
เพลิงศักดิ์สิทธิ์
10 วันต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังอธิษฐานร่วมกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาดุจเพลิงและสถิตเต็มล้นในผู้ติดตามของพระเยซูทุกคน ด้วยความปีติยินดีอันล้นพ้น พวกเขาประกาศเรื่องราวของพระเยซูอย่างกล้าหาญ วันนี้จึงถือเป็นวันกำเนิดของคริสตจักร เมื่อข่าวประเสริฐได้รับการเผยแพร่ ผู้คนใหม่ๆ เชื่อในพระองค์ทุกวัน และเหล่าสาวกได้นำพาข่าวประเสริฐนี้ไปทั่วโลก หลายคนต้องพบกับความตายอย่างทารุณเพราะข่าวประเสริฐที่พวกเขาแบ่งปัน บัดนี้ผ่านไปกว่า 2,000 ปี และมีผู้คนมากกว่า 2.3 พันล้านคนที่ยังคงเชื่อในเรื่องราวของพวกเขา: พระเยซูทรงพระชนม์อยู่
แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร?
ค.ศ. 2024
ค.ศ. 2024
พระเยซูผู้เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยังคงมีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อโลกแม้กระทั่งในปัจจุบัน ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก ณ ปี ค.ศ. 2021 มีผู้คน 2.3 พันล้านคนที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นทั้งมนุษย์อย่างสมบูรณ์และพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ทรงพระชนม์ สิ้นพระชนม์ ทรงฟื้นคืนพระชนม์ และบัดนี้ประทับอยู่ในสวรรค์ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือพระองค์จะเสด็จกลับมาตามที่ตรัสไว้ พระเยซูผู้เป็นที่รู้จักนี้มิได้เป็นเพียงแรงบันดาลใจหรือครูสอนศีลธรรมที่ดีเท่านั้น แต่ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของชีวิตพวกเขา