คุณให้คุณค่ากับอะไร?
สัปดาห์นี้เราจะพูดถึงหนึ่งในหัวข้อที่พระคัมภีร์กล่าวถึงบ่อยที่สุดคือ เรื่องเงินและการเป็นผู้อารักขา คุณรู้ไหมว่าพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องเงินและทัศนคติของเราต่อเงิน …มากกว่าเรื่องการอธิษฐานเสียอีก? พระเจ้าทรงทราบว่าเงินและความพอใจ ถือเป็นความท้าทายสำหรับมนุษย์ พระองค์จึงเขียนคำแนะนำว่า เราควรจัดการตัวเองและเงินอย่างไร มาเริ่มกันเลย
ผมให้คุณค่ากับหลายสิ่ง ผมให้คุณค่ากับภรรยาผมผู้แสนชาญฉลาด น่าทึ่ง และดีเกินกว่าที่ผมสมควรได้รับ ขอบคุณพระเยซูสำหรับภรรยาของผม นอกจากนี้ ผมยังให้คุณค่ากับความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม นี่เป็นเหตุผลที่ผมให้ทีมเทคนิคที่คริสตจักรตรวจสอบคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เข้าชมเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นอกจากของขวัญจากพระเจ้า คือภรรยาที่มีค่าและเป็นคนของพระเจ้าแล้ว ผมยังให้คุณค่ากับลูกๆ เพราะพวกเขาเป็นภาพสะท้อนที่มีชีวิตของผม
และที่สำคัญที่สุด ผมให้คุณค่ากับพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงรักผมก่อน แม้ผมอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไม แต่ผมซาบซึ้งในความรักของพระองค์อย่างลึกซึ้ง เพราะผมให้คุณค่ากับพระเจ้า ผมจึงเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้คุณค่ากับพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นจดหมายจากพระองค์ถึงเรา ถ้าผมให้คุณค่ากับพระองค์และพระวจนะของพระองค์จริงๆ ผมควรอ่าน เข้าใจ และเต็มใจที่จะทำตาม …แม้จะยากก็ตาม
คุณพี่น้อง คุณให้คุณค่ากับอะไร? คุณพอใจในสิ่งเหล่าหรือยัง?
เมื่อผมพูดถึงความพอใจ ผมไม่ได้หมายถึง "การยอมแพ้" บางคนคิดว่าความพอใจคือ การยอมแพ้ต่อความหวังในการเปลี่ยนแปลงและพูดว่า "ฉันไม่ชอบ แต่ฉันจะยอมรับให้ได้" นั่นไม่ใช่ความพอใจที่แท้จริง คนที่พอใจคือ คนที่ตอบคำถามเรื่องคุณค่าของชีวิตได้แล้ว พวกเขาจะพูดว่า "ไม่มีอะไรที่ฉันมีเป็นของฉันเลย ทุกอย่างเป็นของพระเจ้า ฉันเป็นผู้อารักขาของขวัญจากพระองค์ และฉันจะลงทุนชีวิตในสองสิ่งที่คงอยู่ตลอดไปคือ พระวจนะของพระองค์และผู้คน" ความพอใจที่แท้จริงไม่ใช่การได้สิ่งที่คุณต้องการ แต่เป็นการชื่นชมในสิ่งที่คุณมี
- นี่นำเราไปสู่คำถามที่ว่า ทำไมคุณควรให้คุณค่ากับความพอใจ? พระเจ้าทรงสำแดงให้เราเห็นความจริง 3 ประการเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างพึงพอใจคนที่พอใจจะรู้ว่าเมื่อไรควรพูดว่า "พอแล้ว" "คนที่รักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน คนที่รักทรัพย์สมบัติไม่เคยพอใจกับผลกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย" (ปัญญาจารย์ 5:10)ทุกวันนี้ ผู้คนคิดว่าทางแก้ปัญหาด้านการเงิน คือการหาเงินให้ได้มากขึ้น พวกเขาทำงานพิเศษ สละเวลากับครอบครัว และเชื่อว่าการมีมากขึ้นจะทำให้พวกเขาพอใจ กษัตริย์โซโลมอน ผู้มั่งคั่งร่ำรวย เตือนเราว่า …การไล่ตามความมากขึ้นจะไม่นำไปสู่ความพอใจ
- คนที่พอใจจะรู้ว่าความพอใจมาจากภายในสู่ภายนอก "ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเนื่องจากความขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลนและรู้จักความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดหรือในทุกกรณี ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้องและความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์และความขัดสนแล้ว ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟีลิปปี 4:11-13)เปาโลประสบทั้งความอุดมสมบูรณ์และความขาดแคลน เขาเผชิญความท้าทาย แต่ยังคงพอใจ เพราะเขาพบพลังในพระคริสต์ เขาสอนเราว่า… แม้สถานการณ์ในชีวิตจะเปลี่ยนไป ความพอใจที่แท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะมีมากหรือน้อย เราสามารถทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์
- คนที่พอใจจะตระหนักถึงกับดักของ 'ความเป็นอิสระทางการเงิน' "อันที่จริง การอยู่ในทางพระเจ้าพร้อมกับมีความพอใจก็เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกเช่นไร เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้เช่นกัน ถ้ามีอาหารและเสื้อผ้า เราก็ควรพอใจในสิ่งเหล่านั้น ส่วนพวกที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในการล่อลวงและติดกับดักของความอยากมากมายที่โง่เขลาและอันตราย ซึ่งฉุดคนเราให้ลงไปสู่ความพินาศและความย่อยยับ เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย" (1 ทิโมธี 6:6-10)เรามักได้ยินข้อความตอนต้นของข้อพระคัมภีร์นี้บ่อยมาก แต่ขอให้สังเกตประโยคสุดท้ายให้ดี เปาโลพูดด้วยความรู้สึกหนักใจ เกี่ยวกับผู้คนที่หลงไปจากความเชื่อ เลือกบางสิ่งมากกว่าพระเจ้า และละทิ้งพระเยซู ในการไล่ตามความร่ำรวย พวกเขา "ตรมตรอมด้วยความทุกข์"
คุณพี่น้อง คุณพอใจในสิ่งที่คุณมีอยู่จริงๆ หรือไม่? คุณได้ตอบคำถามสุดท้ายเรื่อง "คุณค่า" แล้วหรือยัง?
จุดประสงค์ของการสอนเรื่องการเป็นผู้อารักขา ไม่ใช่เพื่อจะเอาเงินไปจากคุณ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเงินของคุณไม่ได้เอาตัวคุณไป
คุณคือการอัศจรรย์
ขอบคุณคำหนุนใจจากอาจารย์แกรนท์ ฟิชบุ๊ค
.png)