วันอีสเตอร์
วันที่ปัจจุบันถูกเฉลิมฉลองในโลกตะวันตกด้วย กระต่าย ช็อกโกแลต และการซ่อนไข่ที่ระบายสี แท้จริงแล้วมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก อันที่จริง กระต่ายและช็อกโกแลตไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับวันนี้เลย เรื่องราวที่แท้จริงนั้นยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของกระต่ายวิเศษที่ซ่อนขนมให้เด็กๆ เพื่อการค้นหา เรื่องราวที่แท้จริงนั้น หากเป็นความจริงและคริสสเตียนเชื่อว่าเป็นความจริง และสิ่งนี้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างแท้จริง
.jpg)
มีผู้คนมากมายที่เคยถูกทำให้ฟื้นคืนชีพ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่มีการบันทึกไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระคัมภีร์ ผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดเสียชีวิตอีกครั้ง ยกเว้นคนเดียวนั่นคือพระเยซู
แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเหตุใดเรื่องนี้จึงสำคัญมากจนผู้คนเต็มใจที่จะสละชีวิตเพื่อความจริงนี้?
ท่านสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการประสูติ ชีวิตของพระองค์ และแม้กระทั่งการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูได้จากส่วนอื่นๆ ในเว็บไซต์ของเรา อย่างไรก็ตามโดยสังเขปพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่พระองค์ทรงประสูติในเนื้อหนังมนุษย์เมื่อกว่า 2000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างธรรมดาเป็นเวลาประมาณ 30 ปี
จากนั้นพระองค์ทรงเริ่มสิ่งที่เราเรียกว่าพันธกิจต่อสาธารณชน ซึ่งดำเนินไปเป็นเวลา 3 ปี โดยพระเยซูทรงเดินทางไปทั่วเพื่อสั่งสอน รักษาโรค ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ และกระทำการอัศจรรย์ต่างๆ ในช่วงเวลานี้ ผู้คนเริ่มตระหนักว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ชาวยิวรอคอยมาเป็นเวลานาน ในขณะที่เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้น ผู้นำทางศาสนากลับเพิ่มความเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเยซูมากขึ้น เนื่องจากสิ่งที่พระองค์ทรงทำกำลังคุกคามการควบคุมที่พวกผู้นำทางศาสนามีอยู่เหนือประชาชน
พวกผู้นำทางศาสนาพยายามใช้วิธีการต่างๆ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือและหยุดยั้งสิ่งที่พระองค์กำลังทำ แต่ไม่มีวิธีใดได้ผล ในที่สุดพวกเขาจึงใช้มาตรการที่รุนแรงมหาปุโรหิตกล่าวว่า “ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” ยอห์น 11:50
จึงมีการตัดสินใจว่าพระเยซูจะต้องถูกประหารชีวิต อย่างไรก็ตามในขณะนั้นชาวยิวตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันและไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดสินประหารชีวิตผู้ใด พวกเขาจึงนำพระเยซูไปหาผู้ว่าราชการโรมัน หลังจากการโน้มน้าวอยู่พักหนึ่งชายผู้นั้นก็ตกลงที่จะให้เฆี่ยนและตรึงกางเขนพระเยซู แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม
ดังนั้นพระเยซูจึงถูกประหารชีวิตในวันศุกร์ พวกสาวกของพระองค์ได้นำพระศพไปวางไว้ในอุโมงค์หิน บรรดาผู้นำทางศาสนากังวลว่าพระศพอาจถูกขโมยไปโดยผู้ติดตาม เพื่อพิสูจน์คำกล่าวอ้างของพระเยซูที่ว่าพระองค์จะทรงฟื้นขึ้นจากความตาย พวกเขาจึงจัดยามไว้เฝ้าและปิดผนึกอุโมงค์ด้วยหินก้อนใหญ่
พระศพของพระเยซูยังคงอยู่ในอุโมงค์อันเย็นและแข็งตลอดคืนวันศุกร์และตลอดวันเสาร์ จากนั้นในเช้าวันอาทิตย์ สตรีบางคนที่ติดตามพระเยซูได้มาเพื่อนำเครื่องเทศและน้ำมันหอมมาชโลมพระศพเพิ่มเติม ตามธรรมเนียมในสมัยนั้น
เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาพบว่าหินที่ปิดอุโมงค์ถูกเคลื่อนออกไปแล้วและพระศพก็หายไป แล้วเกิดอะไรขึ้น?
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเราอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นภายในอุโมงค์ก่อนช่วงเวลาอันน่าอัศจรรย์นั้น
แต่เราสามารถใช้จินตนาการที่พระเจ้าประทานให้ได้ ท่านอาจจินตนาการถึงพระวรกายที่ไร้ชีวิตของพระเยซูที่ถูกวางไว้ในอุโมงค์ โดยมิตรสหายและผู้ติดตามที่รู้สึกสิ้นหวังและผิดหวังอย่างสุดซึ้งสามวันในอุโมงค์ ร่างกายทางกายภาพของบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอ้างว่าพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ แต่ทรงเป็นพระเจ้าด้วย
พระผู้ช่วยให้รอดที่รอคอยมานาน... เย็นเฉียบ ไร้ชีวิต ไม่ได้สิ้นพระชนม์ในการต่อสู้เพื่อยึดครองอำนาจ แต่ถูกกล่าวหาอย่างเท็จโดยผู้ที่เกลียดชังพระองค์ และถูกสังหารอย่างอัปยศอดสู
เป็นช่วงเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ร่างที่เย็นเฉียบและไร้ชีวิตนั้นนอนอยู่บนแท่นหินเย็น และด้วยแสงสว่างวาบหนึ่ง หัวใจเริ่มเต้น ปอดเริ่มสูดลมหายใจ โลหิตสูบฉีดผ่านเส้นเลือด แต่ร่างกายนี้ไม่ได้เพียงฟื้นคืนชีพเท่านั้น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่อย่างสิ้นเชิง พระเยซูทรงลุกขึ้นนั่ง! ทรงพระชนม์! มีชีวิตและจะไม่สิ้นพระชนม์อีกต่อไป
พระองค์ทรงสำแดงพระองค์แก่สตรีสองคนที่มายังสถานที่ฝังพระศพ พวกเขาไม่ทราบว่าเป็นพระองค์เพราะไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้ แต่แล้วช่วงเวลาที่หวานชื่นที่สุดก็เกิดขึ้น เมื่อคนหนึ่งในพวกเขาถามบุคคลที่คิดว่าเป็นคนเฝ้าสวนว่าพระศพถูกย้ายไปไว้ที่ใด พระเยซูตรัสเรียกนามของเธอ “มารีย์” และเธอจำพระสุรเสียงของพระองค์ได้ เมื่อพระองค์ตรัสเรียกชื่อเธอ เธอก็ตระหนักว่าเป็นพระเยซู พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงบอกให้เธอรีบไปแจ้งแก่สาวกคนอื่นๆ ว่าพระองค์ไม่ได้สิ้นพระชนม์ แต่ทรงพระชนม์อยู่
ดังนั้นท่านจะเห็นได้ว่าเหตุใดเรื่องราวนี้จึงน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง หากสิ่งที่พระเยซูตรัสเป็นความจริง และพระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายจริง เราจำเป็นต้องถามตัวเองว่า “เรื่องนี้มีความหมายอย่างไรต่อชีวิตของฉัน?”
พระเยซูทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ถึงความหมายที่มีต่อเรา พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” ยอห์น 14:6 พระเยซูทรงเป็นหนทางสู่พระเจ้า
นี่คือความหมายที่แท้จริงของเทศกาลอีสเตอร์ ไม่ใช่ไข่หลากสีหรือขนมหวาน แต่เป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติทั้งมวล พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ประทับอยู่ท่ามกลางเรา สิ้นพระชนม์ และทรงฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง
เหตุการณ์ต่อมาที่เราได้อ่านพบคือ หลังจากทรงใช้เวลาอยู่กับผู้ติดตามและมิตรสหายของพระองค์แล้ว พระเยซูทรงถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์เพื่อสถิตกับพระบิดาอีกครั้ง คงเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ได้เห็น เหล่าสาวกยืนตะลึง จ้องมองไปยังท้องฟ้า เมื่อทูตสวรรค์ปรากฏและกล่าวแก่พวกเขาว่า (สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”) กิจการ 1:11
มีสองประเด็นที่น่าสนใจและสำคัญอย่างยิ่งในการสรุปเรื่องราวนี้ ประการแรก พระเยซูยังทรงดำรงพระวรกายไว้ พระองค์ไม่ได้กลับไปเป็นเพียงจิตวิญญาณที่ไร้ร่างกาย แต่เสด็จกลับสู่สวรรค์และขณะนี้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในพระวรกายที่ฟื้นคืนพระชนม์
ประการที่สอง พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันหนึ่งพระองค์จะเสด็จกลับมาและทำให้พระราชกิจที่ทรงเริ่มไว้สำเร็จครบถ้วน ทำให้ทุกสิ่งกลับสู่ความถูกต้องดีงามอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐอันน่าชื่นชมยินดีหรอกหรือ นี่คือสิ่งที่คริสเตียนเฉลิมฉลองในวันอีสเตอร์

เส้นทางชีวิตของพระเยซูบนโลก
พระเยซูเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์มาจนถึงยุคปัจจุบัน คุณอาจทราบดีอยู่แล้วว่าเราเฉลิมฉลองวันประสูติของพระองค์ในวันคริสต์มาส และรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ในวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ แต่พระเยซูคือใครกันแน่? และอะไรคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในเส้นทางชีวิตของพระเยซู อะไรคือประวัติของพระองค์?