ศาสนาคริสต์คืออะไร
ถ้าจะเปรียบศาสนาคริสต์เป็นหนังสักเรื่อง ก็คงต้องเป็นหนังซึ้งๆจิกหมอนเกี่ยวกับความรักแท้ที่มีพระเยซูเป็นตัวเอกแน่นอน
หนังเรื่อง"คริสเตียน"คงรีวิวเรื่องย่อว่า ผู้ช่วยกอบกู้มนุษยชาติ แต่พระเอกที่ชื่อว่าพระเยซูจะมีวีรกรรมอะไรเพื่อช่วยโลก และทำไมพระองค์ถึงได้ชื่อว่าเป็นพระเอกของคริสเตียนกันนะ?

ศาสนาคริสต์เป็นอย่างไร?
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ที่นับถือมากถึง 2พัน3ร้อยล้านคนทั่วโลก และแม้เราจะได้ยินว่าศาสนาคริสต์มีหลากหลายแบบทั้งคริสเตียน คริสตัง หรือกลุ่มย่อยอื่นๆ แต่ทุกๆกลุ่มในนี้มีจุดศูนย์กลางร่วมกันคือความเชื่อในพระเยซูและดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์
พระเยซู: อินฟลูเอนเซอร์คนแรกของโลก
ถ้าพระเยซูอยู่ในยุคนี้คงเป็นเหมือน influencer บนTiktok หรือ Facebook ที่มีคนติดตามมากมาย แต่พระองค์ไม่เคยสร้างภาพให้สวยงามเพื่อดึงดูดผู้ติดตาม
พระองค์ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบหรูหราและอยู่ในกระแสแฟชั่น ที่จริงพระเยซูสอนสิ่งต่างๆที่สวนกระแสและทำให้ผู้มีอำนาจต่อต้าน คอยกลั่นแกล้ง และขัดขวางพระองค์ตลอดเวลา
พระเยซูตัวจริงคือใคร?
พระเยซูไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาสดา นักปราชญ์ หรือโหรอย่างที่หลายคนอาจจะเข้าใจ แต่ชีวิตของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และสามารถทำการอัศจรรย์เกินที่มนุษย์จะทำได้ คริสเตียนจึงมีความมั่นใจได้เสมอว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง
คำสอนของพระองค์ยังคงเฉียบแหลมกว่าทุกบทเรียนที่โลกจะมอบให้ ในยุคที่คนสนใจแต่สิทธิของตนเองและการได้รับการยอมรับ พระเยซูทรงสอนให้เราถ่อมใจ ในการรักผู้อื่นและพระเจ้า ผู้คนมากมายจึงได้รับความอบอุ่นและเติมเต็มชีวิตผ่านทางความเชื่อในพระเยซู ด้วยเหตุนี้เองทำให้เกิดผู้เชื่อหรือที่เราเรียกกันว่าคริสเตียนเกิดขึ้นมากมายจนกลายเป็นศาสนาที่เติบโตไวที่สุดในโลก
พระเยซูคือจุดเปลี่ยนของโลก
ชีวิตและคำสอนของพระเยซูได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ สิ่งที่พระองค์ทำ ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายไปทั่วโลกดังเช่นที่เราเห็นในทุกวันนี้
ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเป็นคริสเตียนและคำสอนของพระเยซูเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นวันเทศกาลคริสต์มาสหรืออีสเตอร์ หรือการแพทย์และการศึกษาที่ถูกนำมาถ่ายทอดโดยมิชชันนารีที่อยากเผยแพร่ความรักของพระเยซูให้โลกได้รู้ ชีวิตประจำวันของเราเป็นได้อย่างทุกวันนี้เพราะพระเยซูได้ทรงสร้างรากฐานของโลกที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขและความอุดมสมบูรณ์
ทำไมคริสเตียนต้องรู้จักพระคัมภีร์
พระคัมภีร์แสดงให้เห็นถึงภาพชีวิตที่ได้รับการอวยพรของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า พระคัมภีร์เล่าเรื่องตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอลที่เป็นคนกลุ่มแรกที่เชื่อในพระเจ้า รวมถึงหลายๆครั้งที่พวกเขาหลงไปกับพระพรที่ได้รับจนทิ้งพระเจ้าไป และการกลับมาคืนดีกับพระเจ้าในแต่ละครั้ง ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยของพระเยซู รวมถึงการเปิดเผยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนับจากยุคสมัยของเราต่อไปด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในพระคัมภีร์ก็คือเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู ดังนั้นพระคัมภีร์จึงเป็นทั้งคู่มือวิธีการดำเนินชีวิตและเป้าหมายแรงบันดาลใจอันสำคัญยิ่งของชาวคริสเตียน
คุณสามารถที่จะรู้จักที่มาที่ไป โครงสร้าง และบริบทของพระคัมภีร์ได้มากขึ้นที่นี่
คริสเตียนเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?
บางครั้งคริสเตียนจะพกเครื่องประดับหรือใช้เครื่องประดับที่เป็นสัญลักษณ์คริสเตียน เราอาจเห็นตราสัญลักษณ์จากองค์กรคริสเตียน จริงๆแล้วสัญลักษณ์เหล่านี้ไม่ได้มีความหมายถึงความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นสิ่งที่ชาวคริสต์ใช้เป็นเครื่องเตือนใจถึงคำสอน และความเชื่อในพระคัมภีร์เป็นต้นว่า
คริสเตียนอาจจะพกหรือใส่สัญลักษณ์ไม้กางเขนเป็นเครื่องเตือนใจถึงการที่พระเยซูยอมถูกตรึงที่กางเขนเพื่อมนุษย์ทุกคน หรือภาพของรุ้งกินน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในทุกคำสัญญาของพระองค์ ซึ่งมาจากสัญญาระหว่างพระเจ้ากับโนอาห์ หรือนกพิราบขาวจากเมื่อตอนที่พระเยซูทรงเข้าพิธีรับศีลบัพติศมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมถึงรูปปลาที่คริสเตียนใช้แสดงถึงความเชื่อของตนก็มาจากสัญลักษณ์ที่ใช้ในยุคพระคัมภีร์เช่นกัน
พระเจ้าของคริสเตียนคือใคร
พระเจ้ามีหลายฉายาเพราะพระองค์เป็นที่สุดในหลายๆทาง ไม่ว่าจะเป็นพระผู้สร้าง จอมโยธา หรือพระบิดา แต่ถ้าจะสรุปพระลักษณะที่เป็นพระองค์มากที่สุดก็คงจะเป็นความรัก เพราะพระเจ้าคือความรักที่บริสุทธิ์ งดงาม และลึกซึ้งที่สุด พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และโลกเพราะความรักของพระองค์ และรักนั้นเป็นเหตุให้พระองค์ประสงค์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ทุกคน พระเจ้าให้อิสระทุกคนในการเลือกว่าจะมีส่วนในพระองค์ไหม แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพระองค์ก็ทรงเป็นผู้เริ่มต้นและยืนยันความรักที่มีต่อมนุษย์โดยผ่านทางพระเยซูแล้ว
พระเยซูคือศูนย์กลางของชีวิตคริสเตียน
พระเยซูทรงประสูติในโลกนี้เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้วในหมู่บ้านเบธเลเฮม พระองค์ทรงเติบโตขึ้นมาในครอบครัวของโยเซฟและนางมารีย์ในแคว้นนาซาเร็ธ ประเทศอิสราเอล
เป็นที่เห็นชัดตั้งแต่วัยเด็กว่าพระเยซูนั้นไม่ใช่แค่คนธรรมดา แต่ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ชื่นชอบการศึกษาและมีความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณและความเชื่อเป็นอย่างดี จนเมื่อพระองค์อายุได้ 30 ปี จึงเริ่มออกเดินทางไปทั่วประเทศอิสราเอลพร้อมกับอัครสาวก 12 คนที่สนิทที่สุด ไม่ว่าพระองค์จะเดินทางไปที่ไหนพระองค์ก็ทรงสอนเรื่องความรัก ความจริงใจ และให้ศิษย์ของพระองค์ทุกๆคนจริงจังและการทุ่มเทในการดำเนินตามคำสอนของพระเจ้า พระองค์มีผู้ติดตามมากมายเพราะเขาได้เห็นพระองค์กระทำการอัศจรรย์ครั้งแล้วครั้งเล่า และคำสอนของพระองค์ก็แตะต้องจิตใจผู้คน จนเกิดเป็นที่ยอมรับและมีผู้ติดตามพระองค์เพิ่มขึ้น
แต่เหล่าผู้มีอำนาจทั้งชาวอิสราเอลและชาวโรมันที่เป็นผู้เข้ามายึดครองประเทศในสมัยนั้นต่างไม่พอใจที่พระเยซูทรงแสดงความเป็นผู้นำที่แตกต่างและเหนือกว่าพวกเขา จนในที่สุดพวกเขาก็ตกลงใจกันปรักปรำพระเยซูด้วยความเท็จ ทรมานพระองค์ และฆ่าพระองค์ในที่สุด
พระเยซูถูกประหาร
พวกผู้มีอำนาจต้องฆ่าพระเยซูไม่ใช่เพราะพระองค์กระทำผิด หรือเพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติจากพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกเขากลัวพระเยซู พวกเขาหวาดกลัวที่พระองค์ทรงมีผู้ติดตามมากมายและกลัวที่พวกเขาอาจจะสูญเสียอำนาจไป แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเป้าหมายที่แท้จริงของพระเยซูนั้นคืออะไร
พระเยซูเป็นเหมือนฮีโร่ที่ต่อสู้กับความชั่วร้าย พระองค์ต่อสู้กับความไม่เท่าเทียม การดูถูก การเอารัดเอาเปรียบ การโกหกและการสองมาตรฐาน สิ่งเหล่านี้คือความบาป และเป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความกันดารและโศกเศร้า เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายต่างๆมากมาย
ในชีวิตของเราแต่ละคน เรามักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแม้ว่าบ่อยครั้งสิ่งนั้นเป็นการละเมิดสิทธิและต้องแย่งชิงมาจากคนอื่น ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความโกรธและชิงชัง แบ่งแยกพวกพ้อง และมนุษย์ไม่เคยเข้มแข็งพอที่จะยกโทษให้ผู้ที่ทำผิดต่อตนเองได้สมบูรณ์ และแม้จะคืนดีกันแล้วก็ย่อมมีกำแพงที่ไม่สามารถทลายได้หลงเหลืออยู่
ความชั่วพ่ายแพ้แล้ว
พระเจ้าต้องการกำจัดความชั่วร้ายและทลายกำแพงที่ถูกก่อขึ้นจากความผิดพลาด และแผนการของพระเจ้าต้องกระทำผ่านทางพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูเท่านั้น
พระเยซูเองก็ทรงทราบแผนการนี้และยอมสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อให้งานของพระองค์สำเร็จ แต่เรื่องทั้งหมดยังไม่จบและพระองค์ไม่ได้แพ้ต่อความบาปและความตาย เพราะพระเยซูทรงเอาชนะความบาปและทรงฟื้นคืนพระชนม์ และชัยชนะของพระองค์ได้ทลายทุกกำแพงที่ขวางกั้นมนุษย์จากกันและกัน และจากพระเจ้าด้วย
คุณสามารถที่จะรับชมการต่อสู้ระหว่างธรรมและอธรรมนี้ได้ในหนังเรื่อง "ชีวิตของพระเยซู" และทางซีรี่ย์ The Chosen
กุญแจแห่งการยกโทษ
พระเจ้าไม่ต้องการให้มีอะไรขวางกั้นระหว่างคุณกับพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงเต็มใจพร้อมที่จะให้อภัยทุกความผิดที่คุณเคยกระทำ พระเจ้าไม่บังคับใครแต่ทรงให้ทุกคนเลือกที่จะได้รับการอภัยนี้ด้วยตนเอง และคุณต้องมีความเข้าใจและยอมรับการเสียสละของพระเยซูผู้ซึ่งเป็นกุญแจที่ปลดล็อกการให้อภัยครั้งนี้ พระเยซูไม่ได้ขุดคุ้ยว่าแต่ละคนทำผิดมามากน้อยแค่ไหน แต่พระองค์ให้ความสำคัญว่าพระเจ้ารักคุณมากแค่ไหนต่างหาก พระเจ้าทรงหยิบยื่นความรักของพระองค์เป็นกุญแจให้คุณเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถใช้กุญแจแห่งความรักนี้เพื่อเข้าสู่ความรักของพระเจ้า รวมไปถึงในการให้อภัยผู้อื่นที่เคยกระทำผิดกับคุณด้วย เพราะทั้งการได้รับการอภัยและการให้อภัยล้วนแต่เป็นการปลดปล่อยตัวของคุณเอง
แก่นของศาสนาคริสต์
“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น”
“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” ยอห์น 3.16-17
3 ภาคของพระเจ้า : พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อพระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์หลังจากการตรึงกางเขน พระองค์ดำเนินอยู่ในโลกกับเหล่าสาวกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นพระองค์ก็ทรงเสร็จกลับสู่สวรรค์ แต่พระองค์ทรงสัญญากับเหล่าสาวกว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับพวกเขาในทุกเวลา
คุณอาจจะเคยได้ยินคริสเตียนพูดถึงพระเจ้า พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็น 3 ภาคของพระเจ้าองค์เดียว หรือที่ชาวคริสต์เรียกกันว่าตรีเอกานุภาพ เรามักจะคุ้นเคยกับพระเจ้า(หรือพระบิดา)ผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และพระเยซู(หรือพระบุตร)ซึ่งมาประสูติในโลกอยู่บ้าง แต่เราอาจจะไม่ค่อยได้ยินเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ที่จริงพระวิญญาณทรงอยู่กับมนุษย์ทุกคนตั้งแต่วันที่พระเยซูกลับสู่สวรรค์แล้ว ในวันนั้นพวกสาวกรู้สึกได้ถึงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณที่เปี่ยมล้นอยู่ในพวกเขาจนร้อนรนต้องลุกขึ้นประกาศเรื่องของพระเยซูให้ทุกคนรอบตัวรับรู้ ถ้อยคำของพวกเขาทรงพลังจนมีคนมากมายสัมผัสถึงพระวิญญาณและได้รับเชื่อเช่นกัน
ทำไมคริสเตียนถึงเรียกตัวเองว่าคริสเตียน?
คำว่าคริสเตียนเป็นคำกรีก Χριστός (Christos) อ่านว่าคริสเตียนอส แปลว่า "ผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์" ส่วนคำว่าคริสต์ในนั้นแปลว่า "ผู้ถูกเจิมแต่งตั้ง" ตามที่พระเยซูได้ถูกเจิมอวยพรตามประเพณีโบราณที่ใช้ในการเจิมแต่งตั้งกษัตริย์ เป็นการยอมรับว่าพระเยซูคือกษัตริย์ผู้ปกครองของเหล่าปวงชนชาวคริสต์
คำว่า"คริสเตียน" เริ่มต้นใช้ในพระคัมภีร์ช่วงพันธสัญญาใหม่ ในพระคัมภีร์ช่วงนี้นอกจากจะมีการกล่าวถึงชีวิตของพระเยซูแล้วก็ยังมีสาส์นที่เหล่าสาวกได้ส่งไปหนุนใจและสั่งสอนคริสต์จักรในยุคเริ่มต้น หนึ่งในจดหมายเหล่านี้ถูกเรียกในพระคัมภีร์ว่า "กิจการของอัครทูต" ส่งไปถึงผู้เชื่อเริ่มเรียกตัวเองว่า "คริสเตียน" ที่อาศัยอยู่ในเมืองอันทิโอกแถบชายแดนตุรกี-ซีเรีย และสิ่งที่พิเศษมากคือนี่เป็นครั้งแรกๆที่มีผู้ที่เชื่อพระเจ้าที่มาจากหลากหลายชนชาติ ทั้งชาวอิสราเอล กรีก และชาวต่างชาติอื่นๆอีกมากมาย เพราะในสมัยก่อนนั้นคนจากแต่ละวัฒนธรรมมักจะเกาะตัวอยู่ด้วยกันและไม่ออกนอกรีตของตนไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่โดยพระคุณที่พวกเขาสัมผัส พวกเขาจึงได้มารวมตัวกันเป็น"คริสเตียน"นั่นเอง
คริสเตียนนิกายต่างๆ
แม้ว่าคริสเตียนทุกคนมีความเชื่อร่วมกันในพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ก็เป็นสาเหตุให้คริสเตียนแยกย่อยออกเป็นหลายนิกาย เพราะแต่ละคนก็ตีความพระคัมภีร์อย่างแตกต่างและให้ความสำคัญในคนละมุมมองตามแต่ละคนไป นิกายคริสเตียนที่ใหญ่ที่สุดคือโรมันคาทอลิกซึ่งนับได้ประมาณประมาณครึ่งหนึ่งของคริสเตียนทั้งหมด หนึ่งในสามเป็นนิกายโปรแตสแตนต์ และที่เหลือเป็นนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ซึ่งแต่ละนิกายหลักก็อาจจะแยกเป็นกลุ่มย่อยที่มีมุมมองเฉพาะเจาะจงลงไปอีก
นิกายคาทอลิก หรือคริสตัง
นิกายโรมันคาทอลิกคือคริสเตียนกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดโนโลก มีสมาชิกประมาณ 1.2พันล้านคน มีกลุ่มผู้นำซึ่งอาศัยและปฏิบัติงานจากกรุงโรม นำโดยโป๊ป และคณะปกครองรองลงมาที่เรียกว่าบิช้อปประมาณ 5พันคน และมีโบสถ์กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ชาวคาทอลิกไม่เพียงแต่อธิษฐานกับพระเจ้าด้วยตนเอง แต่หลายคนก็สวดภาวนาโดยผ่านทางสื่อกลางให้เป็นผู้ร้องทูลคำอธิษฐานกับพระเจ้า เช่นผ่านทางนางมารีย์มารดาของพระเยซูซึ่งชาวคาทอลิกจำนวนมากยกย่องให้เป็นประหนึ่งตัวแทนแม่ของผู้เชื่อทุกคน นอกจากนี้นิกายคาทอลิกก็ยกย่องนักบุญ คนที่แสดงความเชื่ออย่างแข็งกล้า และผู้รับใช้ที่ทำประโยชน์อย่างมากให้กับคริสตจักร และให้คนเหล่านี้ช่วยร้องทูลคำอธิษฐานกับพระเจ้าเช่นกัน นิกายโรมันคาทอลิกให้ความสำคัญกับการใช้สัญลักษณ์ต่างๆและศิลปะประเพณีและการรักษาความถูกต้องตามพิธีกรรมเป็นอย่างมาก
นิกายโปรแตสแตนต์
นิกายโปรแตสแตนต์ถือกำเนิดขึ้นจาก[แรงต้าน]ต่อนิกายคาทอลิก ซึ่งมีความต้องการให้คริสตจักรโคจรรอบพระเจ้า พระเยซู และพระคัมภีร์ ดังนั้นนิกายโปรแตสแตนต์จึงไม่มีองค์กรปกครองกลางและผู้นำคนหนึ่งคนเดียวที่มีอำนาจสูงสุด แต่มักจะขับเคลื่อนที่ระดับองค์กรผ่านทางคณะกรรมการของแต่ละแห่ง
อีสเทิร์นออทอด๊อกซ์
เมื่อประมาณ500ปีก่อน มีคนกลุ่มใหญ่ที่แยกตัวเองออกจากการปกครองของโป๊ปภายใต้นิกายโรมันคาทอลิกและเรียกตัวเองว่า อีสเทิร์นออทอด๊อกซ์
นิกายอีสเทิร์นออทอด๊อกซ์ถือว่าพวกเขาเป็นเอกเทศจากกลุ่มคริสเตียนอื่นๆ และไม่มีส่วนร่วมกับคริสจักรหรือหน่วยงานคริสเตียนอื่นๆ พวกเขาเชื่อในการรักษาวิถีของคริสเตียนยุคแรกจึงมีความเคร่งในพิธีกรรมและการใช้สัญลักษณ์ตามแบบดั้งเดิม
คริสเตียนมีหลายหลากรูปแบบและความคิด ไม่ว่าในอดีตจนปัจจุบันก็มีการทุ่มเถียงกันเสมอในเรื่องหลักข้อเชื่อและการวางตัวของคริสเตียน เช่นเรื่องเพศทางเลือกและบทบาทการเป็นผู้นำของผู้หญิงเป็นต้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร คริสเตียนทุกคนยอมรับกันเสมอว่าเราทุกคนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าและเป็นพระช่วยให้รอดของมนุษย์ทุกคน
พิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญของคริสเตียน
แม้ว่าคริสเตียนจะแตกกันออกไปเป็นหลายนิกายย่อย แต่ก็ยังมีกิจกรรมที่แสดงถึงความเชื่อที่มีรากฐานเดียวกันอยู่ คือพิธีบัพติศมาและพิธีศีลมหาสนิท
พิธีบัพติศมา
คริสเตียนทุกคนได้รับบัพติศด้วยน้ำเมื่อเขาประกาศตัวเชื่อในพระเจ้า อาจจะเป็นการพรมน้ำหรือจุ่มน้ำจนมิดทั้งตัวก็แล้วแต่ พิธีบัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายถึงการเริ่มต้นใหม่และการล้างบาปผิดในอดีต พระเยซูก็ทรงรับบัพติศมาที่แม่น้ำจอร์แดนและประสงค์ให้ผู้เชื่อทุกคนรับบัพติศมาเช่นกัน
พิธีศีลมหาสนิท
คริสเตียนร่วมระลึกถึงการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนชีพของพระเยซูโดยผ่านทางพิธีมหาสนิท คือการทานขนมปังและน้ำองุ่น (หรือเหล้าองุ่น) เช่นเดียวกับที่พระเยซูทานอาหารมื้อสุดท้ายกับสาวกก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่กางเขน พระเยซูทรงอธิบายถึงความหมายของขนมปังและเหล้าองุ่นให้กับสาวกว่าขนมปังคือพระกายของพระเยซู และเหล้าองุ่นนั้นแทนเลือดของพระองค์ที่ใช้ในการชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน
และกิจกรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสเตียน คือ การอธิษฐาน
การอธิษฐานคือการพูดคุยกับพระเจ้า คริสเตียนล้วนอธิษฐานตามที่พระเยซูทรงสอนไว้ พระองค์มักจะให้เวลากับการอธิษฐานจากที่เห็นในพระคัมภีร์ เพราะพระองค์เข้าใจและอยากแสดงให้สาวกเห็นว่าการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
การอธิษฐานมีหลายรูปแบบ บางคนอธิษฐานออกเสียงดัง บางคนอธิษฐานเงียบๆในใจคนเดียว การอธิษฐานทำได้ทั้งเป็นการส่วนตัวและกับผู้อื่น อาจจะเป็นการสวดเป็นบท หรือเป็นการพูดคุยกับพระเจ้าตามสบาย คุณเองก็สามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้เช่นกัน
การอธิษฐานไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นความสนิทสนมกับพระเจ้าที่นับเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต พระเจ้าทรงช่วยได้ในเวลาที่เรามีความกังวลหรือเครียด คุณสามารถที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าเพื่อระบายและทูลขอความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นความกังวล เจ็บปวด เศร้า หรืออ่อนไหวใดๆ และคุณก็สามารถขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์รักและเลี้ยงดูเราในทุกๆวันได้เช่นกัน
ถ้าคุณรู้สึกอายที่จะอธิษฐานหรือไม่รู้จะเริ่มอย่างไร คุณสามารถที่จะอธิษฐานตามพระเยซูได้ คำอธิษฐานของพระเยซูถึงพระบิดาสอนให้คริสเตียนรู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นทั้งกษัตริย์ผู้สามารถทำได้ทุกอย่าง และเป็นพ่อที่รักของเราด้วย
คำอธิษฐานของพระเยซู
ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้ และขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์ และขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย อาเมน
ปิดท้าย
เพจนี้ได้อธิบายหลายๆเรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจว่าคริสเตียนไม่ใช่เรื่องของประวัติศาสตร์หรือศาสนา แต่เป็นชีวิต และเป็นเรื่องราวอันสวยงาม หนุนใจ และน่าตื่นเต้นชื่นชม ชีวิตคริสเตียนไม่ได้อยู่ที่การประพฤติตามพิธีกรรม แต่เป็นการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ก่อนจะจากกันเราขอเชิญให้คุณชมวิดีโอนี้ซึ่งจะสรุปเรื่องราวความเชื่อของชาวคริสต์ผ่านถ้อยคำจากพระคัมภีร์ให้คุณอีกครั้ง
เรียนรู้เพิ่มเติม
อยากรู้เพิ่มเติมไหม? มีคำถามที่อยากถามไหม? คุณสามารถพูดคุยกับเราได้ที่นี่ ถ้าคุณอยากให้เราอธิษฐานเผื่อไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม คุณสามารถบอกเราได้ที่นี่